วันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

ความรู้เกี่ยวกับหนู


  ความรู้เกี่ยวกับหนู

    





        หนู เป็นสัตว์ฟันแทะประเภทเลี้ยงลูกด้วยนม มีลักษณะเด่นชัดคือมีฟันคู่หน้าทั้งบนและล่าง 2 คู่ ที่มีความแข็งแรงเป็นพิเศษและคมมีลักษณะโค้งยื่น เพื่อใช้สำหรับกัดหรือแทะสิ่งต่างๆ เพื่อให้ฟันหน้าซึ่งสามารถเจริญยาวได้ตลอดชีวิตของมัน มีขนาดสั้นพอเหมาะและคมอยู่เสมอหนู มีความสำคัญ ทั้งทางด้านสาธารณสุข และการเกษตรทั้งนี้ เพราะหนูเป็นสัตว์แทะ ที่มีคุณสมบัติ ทางด้านชีววิทยาในการแพร่พันธุ์ได้รวดเร็ว สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมสภาพต่างๆ ภายในบ้านได้เป็นอย่างดี ลักษณะนิสัยของ หนู ชอบการกัดทำลายวัสดุ สิ่งของเครื่องใช้และสิ่งก่อสร้างต่างๆ เป็นประจำ เช่น ตู้ โต๊ะ เพดานบ้าน สายไฟ สายโทรศัพท์ สายคอมพิวเตอร์ ท่อน้ำ ผ้าม่าน สบู่ เครื่องประดับต่างๆ ตามถนน คันคูน้ำ คันนา หนู ก็จะขุดรูอาศัย เป็นผลให้เกิดการชำรุดเสียหายจนใช้การไม่ได้ ทำให้ต้องเสียเงินซ่อมแซมอยู่เสมอ


         ชีววิทยาและพฤติกรรมของหนู

  การสืบพันธุ์และการเจริญเติบโตหนู เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีความสามารถในการผสมพันธุ์ และแพร่พันธุ์ได้รวดเร็วมาก จากการศึกษาสำรวจพบว่า พวกหนูนอร์เว และหนูท้องขาวสามารถมีลูกได้ครั้งแรกอายุประมาณ 3 – 5 เดือน เมื่อผสมแล้วจะตั้งท้องเพียง 21 – 22 วัน สำหรับหนูมีลูกติดๆ กันไม่หยุดในท้องหลังๆ อาจตั้งท้องนาน 23 – 29 วัน ส่วนในหนูหริ่งนั้น หลังผสมพันธุ์อาจตั้งท้องประมาณ 19 วัน ภายใน 48 ชั่วโมง หลังคลอด ความยืนยาวของชีวิตหนูแต่ละชนิดไม่เท่ากน แต่ไม่แตกต่างกันมากนักเช่น หนูท้องขาวอาจจะมีชีวิตอยู่ได้นานประมาณ 2 ปี


ในประเทศไทยหนูที่พบในเขตเมืองหรือแหล่งชุมชนต่างๆดังนี้




1.  หนูนอร์เว

            เป็นหนูที่มีขนาดใหญ่ที่สุด  ในสกุลนี้มีน้ำหนักตัวประมาณ 200-500 กรัม  กินอาหารได้ทุกประเภท   หากมีอาหารสมบูรณ์จะทำให้หนูชนิดนี้มีขนาดลำตัวใกล้เคียงหนูพุก   หนูชนิดนี้ชอบอาศัยใกล้แหล่งน้ำและมีชื่อเรียกขานหลายชื่อตามแหล่งที่อยู่อาศัยหรือแหล่งที่ออกหากินเช่น  หนูท่อ  หนูขยะ  หนูท่าเรือและหนูเลาเป็นต้นปกติชอบขุดรูอาศัยในดินใกล้กองขยะใต้ถุนบ้านหรือสนามบ้านที่ปากรูมีขุยดินกองใหญ่คล้ายของหนูนาหรือพบอาศัยในท่อระบายน้ำในแหล่งชุมชนตามตลาดมีความยาวหัวรวมลำตัวประมาณ 233มิลลิเมตรหางสั้นกว่าความยาวหัวรวมลำตัวยาว 201 มิลลิเมตรและมี 2 สีด้านบนสีเข้มกว่าด้านล่างหน้าจะป้านหรือทู่กว่าหนูท้องขาวบ้านมีตาและใบหูเล็กกว่าเช่นกันขนด้านท้องสีเทาด้านหลังขนสีน้ำตาลหรือสีดำตีนหลังใหญ่ขนาด 44 มิลลิเมตรและมีขนขาวตลอดเพศเมียมีเต้านม 3 คู่ที่อกและ 3 คู่ที่ท้องพบทั่วประเทศในเขตเทศบาลเมืองทุกแห่งอาจพบในพื้นที่ทำการเกษตรที่ติดต่อกับเขตชุมชนใหญ่ๆเป็นพาหะนำโรคที่สำคัญหลายชนิดสู่มนุษย์และสัตว์เลี้ยง พฤติกรรมการอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ของหนูนอร์เวเป็นแบบ pecking order โดยหนูเพศผู้ที่มีขนาดใหญ่และแข็งแรงเป็นจ่าฝูงจึงเลือกที่อยู่และกินอาหารที่ดีที่สุดได้ก่อนและกำหนดเขตถิ่นอยู่อาศัยโดยใช้ปัสสาวะและไขมันจากขนในแต่ละกลุ่มจะมีหนูเพศเมียมากกว่า 1 ตัวลูกหนูและอาจมีหนูเพศผู้ตัวอื่นๆที่อ่อนแอกว่าเป็นหนูที่มีนิสัยดุร้ายและก้าวร้าวโดยเฉพาะเวลาที่แย่งถิ่นอาศัยอาหารและหนูเพศเมียปกติแล้วหนูที่โตเต็มที่จะกินอาหาร 20-30 กรัมต่อคืน (ประมาณร้อยละ 10 ของน้ำหนักตัว) และสามารถเดินทางในแต่ละคืนเป็นระยะทางไกล 2-3 กิโลเมตรเพื่อหาอาหาร




2.  หนูท้องขาวบ้าน

            หนูชนิดนี้มีความหลากหลายในเรื่องของสีขนซึ่งขึ้นอยู่กับภูมิประเทศที่พบและมีชื่อเรียกต่างๆตามแหล่งที่อยู่อาศัยเช่นหนูหลังคาหนูเรือหนูบ้านและหนูสวนเป็นต้นตัวเต็มวัยมีน้ำหนักอยู่ระหว่าง90-250 กรัมความยาวหัวรวมลำตัวเท่ากับ 182 มิลลิเมตรปกติสีขนด้านหลังเป็นสีน้ำตาลแกมเหลืองและกลางหลังมีขนแข็งสีดำแทรกอยู่ขนด้านท้องสีขาวครีมบางครั้งมีแถบขนสีน้ำตาลคล้ำยาวจากส่วนคอถึงกลางอกขนบริเวณตีนหลังส่วนใหญ่ยาวและมีขนดำแทรกปะปนบ้างหางสีดำตลอดมีเกล็ดละเอียดเล็กๆและยาวมากกว่าความยาวหัวรวมลำตัวยาว 188 มิลลิเมตรจมูกแหลมจึงทำให้หน้าค่อนข้างแหลมด้วยใบหูใหญ่ตาโตเพศเมียมีเต้านม 2 คู่ที่อกและ 3 คู่ที่ท้อง (ในบางแห่งเพศเมียมีเต้านม 3 คู่แต่คู่ที่ 3 อยู่ชิดกับคู่ที่ 2หรือห่างกันน้อยกว่า 1 เซนติเมตร) ปีนป่ายเก่งมากพบได้ทั่วประเทศตามเพดานของอาคารบ้านเรือนยุ้งฉางนาข้าวในสวนผลไม้มะพร้าวปาล์มน้ำมันเป็นต้นปกติไม่ชอบขุดรูอาศัยในดินมักอาศัยอยู่บนต้นไม้บนที่สูงหรือใต้หลังคาในห้องต่างๆของอาคารแต่ถ้าขุดรูมักไม่พบขุยดินบริเวณปากรูทางเข้าหรือมีขุยดินน้อยมากชอบกินผลไม้ผักและเมล็ดพืชมากกว่าเนื้อสัตว์พฤติกรรมการอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มพบในหนูชนิดนี้เช่นเดียวกันกับหนูนอร์เวแต่มีจำนวนสมาชิกน้อยกว่าจ่าฝูงมักเป็นเพศผู้หนูชนิดนี้มีรูปร่างที่เพรียวกว่าหนูนอร์เวและชอบอาศัยอยู่ในที่สูงเช่นใต้หลังคาบ้านตามขื่อและคานของโรงเก็บอาหารสำเร็จรูปต่างๆบนต้นไม้เป็นต้นในขณะที่หนูนอร์เวชอบอาศัยใต้อาคารหรือขุดรูอยู่บริเวณนอกบ้านหนูชนิดนี้มีความดุร้ายก้าวร้าวน้อยกว่าหนูนอร์เวปกติแล้วมักละการต่อสู้ด้วยการวิ่งหนีจากไปหรือย้ายแหล่งที่อยู่





3.  หนูจี๊ด

            เป็นหนูที่มีขนาดเล็กที่สุดในสกุลRattus มีน้ำหนักตัวอยู่ระหว่าง 27-60 กรัมความยาวหัวรวมลำตัวเท่ากับ 115 มิลลิเมตรตาโตใบหูใหญ่ตีนหลังยาว 23 มิลลิเมตรหางยาวกว่าความยาวหัวรวมลำตัวมากยาว 128 มิลลิเมตรและมีสีเดียวตลอดขนด้านหลังมีสีน้ำตาลแก่ขนด้านท้องสีเทาเพศเมียมีเต้านม 2 คู่ที่อกและ 2 คู่ที่ท้องหนูชนิดนี้ปีนป่ายได้ดีและว่องไวมากชอบอาศัยในที่แห้งตามบ้านเรือนโดยเฉพาะในห้องครัวห้องเก็บของตู้ลิ้นชักและยุ้งฉางทั่วประเทศกรณีที่พบในหมู่บ้านที่ติดกับพื้นที่ทำการเกษตรอาจพบหนูจี๊ดทำลายพืชในไร่นาสวนมะพร้าวสวนผลไม้แปลงถั่วต่างๆเช่นถั่วมะคาเดเมียฯลฯเช่นเดียวกันกับหนูนอร์เวหนูชนิดนี้กินอาหารได้เกือบทุกประเภท





4.  หนูหริ่งบ้าน

            ในประเทศไทยหนูชนิดนี้มีขนาดเล็กกว่าหนูหริ่งบ้านที่พบในยุโรปแต่สีขนคล้ายกันคือสีขนด้านบนและด้านท้องคล้ำขนบนหลังเท้าดำยกเว้นปลายเล็บเท้าขาวสีหางมีสีเดียวฟันเล็กหน้าสั้นมีน้ำหนักตัวประมาณ 12 กรัมความยาวหัวรวมลำตัว 74 มิลลิเมตรหางยาว 79 มิลลิเมตรตีนหลังยาว16 มิลลิเมตรใบหูยาว 12 มิลลิเมตรเพศเมียมีเต้านม 3 คู่ที่อกและ 2 คู่ที่ท้องเป็นหนูที่ตกใจได้ง่ายและออกอาหารในเวลากลางคืนเช่นกันชอบอาศัยในที่มืดตามลิ้นชักตู้หรือตามท่อเสาที่มีรูเปิดและไม่กลัวสิ่งใหม่ๆเมื่อสภาพแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลงหนูชนิดนี้จะออกสำรวจสภาพแวดล้อมใหม่ทุกวัน



เรามารู้จักน้องหนูให้มากขึ้นกัน

 ประสาทความรู้สึก

หนูทุกชนิดมีประสาทความรู้สึกไวมาก ทำให้ยากต่อการควบคุมกำจัดให้ได้ผล แต่ การทำให้หนูเข็ดขยาดจะเป็นทางที่จะช่วยให้หนูไม่มาใกล้บริเวณนั้นๆ 


การสัมผัส

หนู มีเครา และขน ซึ่งมีความยาวกว่าขนธรรมดาและขึ้นกระจายอยู่ทั่วๆ ไปเป็นประสาทสัมผัสที่ดีมาก โดยในเวลากลางคืนที่มันวิ่งออกหากิน มันจะวิ่งไปตามทางข้างๆ ผนัง โดยมีเคราและขนดังกล่าว จะสัมผัสกับผนังเพื่อใช้ในการนำทาง


การมองเห็น

หนูมีระบบประสาทมองไม่ดี มองเห็นได้ไม่ไกลและตาบอดสี เห็นเฉพาะสีขาวดำ ฉะนั้นจึงมองเห็นในเวลากลางคืนดีกว่ากลางวัน




การรับรู้รส

การรู้รสของ หนูไม่ดีเท่าคน ไม่สามารถแยกรสชาติอาหารได้เท่าคน แต่มีบ่อยครั้งที่หนูมีการเข็ดเหยื่อเพราะหนูมีความฉลาดและระมัดระวังตัวดี กินอาหารอะไรที่ไม่คุ้นเคยมักกินแบบชิมๆ เมื่อได้รับยาเบื่อในขนาดไม่สูงพอที่จะให้หนูตาย เมื่อยาเบื่อเข้าไปในกระเพาะจะไปทำให้หนูเจ็บและเกิดการเรียนรู้และเข็ด เหยื่อ


การได้ยิน

หนูได้ยินเสียงในระยะเพียงประมาณ 6 นิ้วเท่านั้นการทรงตัวหนู ทุกชนิดมีการทรงตัวดีมากมาตั้งแต่กำเนิด ถึงแม้หนูที่ปีนป่ายที่สูงจะตกหล่นลงมายังพื้นไม่ว่าในลักษณะท่าใดเมื่อหล่น ถึงพื้น เท้าทั้งสี่ของหนูจะลงพื้นก่อนเสมอทำให้หนูไม่เป็นอันตรายและในท่าที่ลงพื้น นี้ หนูก็พร้อมที่จะวิ่งได้ต่อไปทันที

วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

โรคที่เกิดจากหนู

 



หนู พาหะนำโรค 


        หนู เป็นสัตว์ที่สามารถแพร่พันธุ์ได้เร็ว และชอบอาศัยอยู่ในที่สกปรกซึ่งเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค นอกจากจะอาศัยอยู่ตามธรรมชาติแล้ว หนูยังปรับตัวและอาศัยอยู่ตามอาคารบ้านเรือนของมนุษย์ได้ ทำให้หนูสามารถแพร่กระจายเชื้อโรคสู่คนได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยหนูเป็นพาหะของโรคต่าง ๆ มากมาย เช่น โรคฉี่หนู โรคไข้หนูกัด และโรคติดเชื้อต่าง ๆ ซึ่งบางโรคอาจทำให้เกิดอาการป่วยรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้


 อันตรายที่มาจากหนู


โรคฉี่หนู เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียเลปโตสไปรา (Leptospira) สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งกับคนและสัตว์ โดยมีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเป็นพาหะนำโรค เช่น วัว ควาย ม้า สุนัข และหนู โดยการแพร่เชื้อสู่คนเกิดจากการสัมผัสปัสสาวะหรือสารคัดหลั่งของสัตว์ที่ติดเชื้อ รวมทั้งการสัมผัสกับน้ำ ดิน หรืออาหารที่ปนเปื้อนปัสสาวะของสัตว์ติดเชื้อ ผู้ป่วยที่ติดเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้จะมีอาการป่วยแตกต่างกันไป เช่น มีไข้ ปวดหัว หนาวสั่น ปวดตามกล้ามเนื้อ อาเจียน ตัวเหลือง ตาแดง ปวดท้อง ท้องเสีย มีผื่นขึ้นตามร่างกาย และผู้ป่วยบางรายก็อาจไม่มีอาการใด ๆ ปรากฏให้เห็น อย่างไรก็ตาม ผู้ติดเชื้อจากโรคฉี่หนูที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจมีอาการรุนแรงขึ้นจนทำให้ตับและไตเกิดความเสียหาย ตับวาย หายใจลำบาก เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้


โรคติดเชื้อไวรัสฮันตา (Hantavirus) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสฮันตาที่พบในสัตว์ฟันแทะ เช่น หนู กระรอก และกระต่าย เป็นต้น โดยมีอาการทั้งแบบรุนแรงและไม่รุนแรง หากมีอาการรุนแรง ผู้ติดเชื้ออาจมีกลุ่มอาการ Hantavirus Pulmonary Syndrome (HPS) โดยผู้ป่วยจะแสดงอาการในเวลา 1-2 สัปดาห์หลังสัมผัสเชื้อไวรัสจากปัสสาวะ อุจจาระ หรือน้ำลายของสัตว์ที่ติดเชื้อ ในระยะแรกผู้ป่วยจะอ่อนเพลีย มีไข้ และปวดตามกล้ามเนื้อ บางรายอาจปวดศีรษะ หนาวสั่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย และปวดท้อง ต่อมาอาการจะกำเริบขึ้นจนทำให้หายใจไม่อิ่ม ไอ และเกิดภาวะน้ำในปอด นอกจากนี้ เชื้อไวรัสชนิดนี้อาจทำให้เกิดการป่วยรุนแรงที่จะเริ่มปรากฏอาการหลังได้รับเชื้อภายใน 1-2 สัปดาห์ เช่น ปวดศีรษะ ปวดหลัง ปวดท้อง มีไข้ ปัสสาวะผิดปกติ ตาแดง เป็นผื่นตามบริเวณต่าง ๆ และหากอาการรุนแรงมากอาจทำให้มีเลือดออกที่ไตหรือไตวายได้


โรคติดเชื้อซาลโมเนลโลซิส (Salmonellosis) เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียที่พบได้ทั่วไป โดยเชื้อซาลโมเนลโลซิสมักอาศัยอยู่ในลำไส้ของมนุษย์ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมอย่างหนู รวมทั้งสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ปีกด้วย เชื้อนี้จะถูกขับถ่ายออกทางอุจจาระ ซึ่งผู้ป่วยมักติดเชื้อจากการรับประทานไข่ เนื้อสัตว์และสัตว์ปีกที่ปรุงไม่สุก หรือการดื่มน้ำที่มีเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวปนเปื้อนอยู่ ผู้ป่วยที่ติดเชื้อมักไม่แสดงอาการของโรคออกมาให้เห็น แต่บางรายอาจมีไข้ ปวดท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน หนาวสั่น ปวดศีรษะ และอุจจาระเป็นเลือดภายใน 8-72 ชั่วโมงหลังได้รับเชื้อ แต่ผู้ป่วยที่มีสุขภาพแข็งแรงอาจหายจากโรคได้เองโดยไม่ต้องรับการรักษา


โรคทูลารีเมีย (Tularemia) หรือโรคไข้กระต่าย เป็นโรคติดต่อที่พบได้ไม่บ่อยนัก ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียฟรานซิสเซลล่า ทูลาเรนซิส (Francisella Tularensis) ที่มักพบในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกลุ่มสัตว์ฟันแทะ เช่น หนู กระต่าย กระรอก และอาจพบในสัตว์ชนิดอื่น เช่น แกะ สุนัข แมว โดยแบคทีเรียชนิดนี้สามารถติดต่อสู่คนได้จากการถูกหมัดหรือเห็บกัด และการสัมผัสกับสัตว์ที่ติดเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวโดยตรง ผู้ป่วยที่ติดเชื้อจะมีไข้อย่างเฉียบพลันหลังได้รับเชื้อประมาณ 3-5 วัน นอกจากนี้ อาจมีอาการหนาวสั่น ปวดศีรษะ ต่อมน้ำเหลืองโต และมีแผลจากการถูกสัตว์ที่ติดเชื้อกัด อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยได้รับยาปฏิชีวนะแต่เนิ่น ๆ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาโรคทูลารีเมียได้ดีขึ้น


โรคไข้หนูกัด เป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คนที่พบได้น้อยมาก เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตบาซิลลัส โนนิลิฟอร์มิส (Streptobacillus Moniliformis) และสไปริลลัม ไมนัส (Spirillum Minus) ซึ่งพบได้มากในประเทศแถบทวีปเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ โดยมีสัตว์ฟันแทะ เช่น หนู กระรอก เพียงพอน (Weasel) และเฟอร์เร็ท (Ferret) เป็นพาหะของโรค การแพร่เชื้อสู่คนอาจเกิดจากการถูกสัตว์เหล่านี้กัด ขีดข่วน หรือสัมผัสกับปัสสาวะ อุจจาระ สารคัดหลั่งจากปาก ตา และจมูกของสัตว์ที่ป่วย โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยโรคไข้หนูกัดที่ติดเชื้อสเตรปโตบาซิลลัส โนนิลิฟอร์มิส จะมีระยะฟักตัวของโรคน้อยกว่า 7 วัน และมีอาการ เช่น มีไข้ มีผดผื่นขึ้นตามร่างกาย และข้ออักเสบ ส่วนผู้ป่วยที่ติดเชื้อแบคทีเรียสไปริลลัม ไมนัส จะมีระยะฟักตัวของโรคนาน 14-18 วัน โดยจะมีไข้ มีแผลเปื่อยที่เกิดจากรอยกัดของหนู และต่อมน้ำเหลืองโต


กาฬโรค เป็นโรคระบาดรุนแรงที่ติดต่อจากสัตว์สู่คน โรคนี้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียเยอร์ซีเนีย เพสติส (Yersinia Pestis) ที่มักอาศัยอยู่ในหมัดของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดเล็ก เช่น หนูและกระรอก ผู้ป่วยมักได้รับเชื้อจากการถูกหมัดที่มีเชื้อกาฬโรคกัด หรือการสัมผัสของเหลวและวัตถุที่ปนเปื้อนเชื้อ นอกจากนี้ ยังสามารถติดเชื้อได้จากการหายใจเอาอากาศที่มีละอองเสมหะจากผู้ป่วยโรคนี้เข้าไป โดยผู้ป่วยกาฬโรคมักแสดงอาการหลังได้รับเชื้อแล้วประมาณ 1-7 วัน ซึ่งในระยะแรกผู้ป่วยจะมีไข้อย่างกะทันหัน หนาวสั่น อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดตามร่างกาย คลื่นไส้ และอาเจียน อย่างไรก็ตาม มีรายงานการเสียชีวิตของผู้ป่วยกาฬโรคในประเทศไทยครั้งสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ. 2495 และยังไม่พบรายงานการเกิดกาฬโรคอีกจนถึงปัจจุบัน


การกำจัดหนู และควบคุมการแพร่เชื้อ


    เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากหนู ควรรักษาสุขอนามัยของตนเอง ดูแลสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมให้ดี ลดการแพร่พันธุ์และกำจัดแหล่งที่อยู่อาศัยของหนู เช่น บริโภคอาหารที่สะอาดและปรุงสุกอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับหนูหรือสัตว์ตระกูลฟันแทะ ปิดช่องทางการเข้าออกไม่ให้หนูเข้าสุู่อาคาร ที่พักอาศัย และสถานที่ทำงานด้วยการใช้หน้าต่างประตูมุ้งลวดหรือตะแกรงดักบริเวณท่อระบายน้ำ หรือ ใช้สมุนไพรขับไล่เพื่อ เป็นการไม่ทำร้ายหนูและดูแลที่อยู่อาศัยได้เป็นอย่างดี 



ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก POBPAD


ฺสเปรย์ไล่หนู